วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ภากอิสาร

ภาคอีสาน เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง
การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ
ภาษาหลักของภาคนี้ คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น
ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นต้น
ภาคอีสาน มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 168,854 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ร้อยละ 33.17 เทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทยได้จัดว่าเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสานในหลายจังหวัดด้วยกัน เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์

การทำงานของจอประเภทนี้จะทำงานโดย อาศัยหลอดภาพ ที่สร้างภาพโดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ที่มีสารพวกสารประกอบของฟอสฟอรัส ฉาบอยู่ที่ผิว ซึ่งจะเกิดภาพขึ้นมาเมื่อสารเหล่านี้เกิดการเรืองแสงขึ้นมา เมื่อมีอิเล็กตรอนมากระทบ ซึ่งในส่วยของจอแบบ Shadow Mask นั้น จะมีการนำโลหะที่มีรูเล็กๆ มาใช้ในการกำหนดให้แสงอิเล็กตรอนนั้นยิงมาได้ถูกต้อง และแม่นยำ ซึ่งระยะห่างระหว่างรูนี้เราเรียกกันว่า Dot Pitch ซึ่งในรูนี้จะมีสารประกอบของฟอสฟอรัสวางเรียงกันอยู่เป็น 3 จุด 3 มุม โดยแต่ละจุดจะเป็นสีของแม่สีนั้นก็คือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งแต่ละจุดนี้เราเรียกว่า Triad ในส่วนของจอแบบ Trinitron นั้นจะมีการทำงานที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ ไม่ได้ใช้โลหะเป็นรูแต่จะใช้ โลหะที่เป็นเส้นเล็กๆ ขึงพาดไปตาม แนวตั้ง เพื่อที่จะให้อิเล็คตรอนนั้นตกกระทบกับผิวจอที่มีสารประกอบของฟอสฟอรัสได้มากขึ้น สำหรับจอ Trinitron ในปัจจุบันนี่ได้มีการพัฒนาให้มีความแบนราบมากขึ้นซึ่งจอแบบนี้จะเรียกกันว่า FD Trinitron (Flat Display Trinitron) ซึ่งมีมากมายในปัจจุบันและจะเข้ามาแทนที่จะแบบเดิมๆ อีกทั้งราคายังถูกลงเป็นอย่างมากด้วย
- จอแอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display) ซึ่งมี ลักษณะแบนราบ จะมี ขนาดเล็กและบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีแอลที
จอแบบ LCD
การทำงานนั้นจะไม่เหมือนกับจอแบบ CRT แม้สักนิดเดียว ซึ่งการแสดงภาพนั้นจะซับซ้อนกว่ามาก การทำงานนั้นอาศัยหลักของการใช้ความร้อนที่ได้จากขดลวด มาทำการเปลี่ยนและ บังคับให้ผลึกเหลวแสดงสีต่างๆ ออกมาตามที่ต้องการซึ่งการแสดงสีนั้นจะเป็นไปตามที่กำหนด ไว้ตามมาตรฐานของแต่ละ บริษัท จึงทำให้จอแบบ LCD มีขนาดที่บางกว่าจอ CRT อยู่มาก อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า จึงทำให้ผู้ผลิตนำไปใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่โน้ตบุ๊ค และเดสโน้ต ซึ่งทำให้เครื่องมีขนาดที่บางและเล็กสามารถพกพาไปได้สะดวก ในส่วนของการใช้งานกับเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ก็มีซึ่งจอแบบ LCD นี้จะมีราคาที่แพงกว่าจอทั่วไปอยู่ประมาณ 2 เท่าของ ราคาในปัจจุบัน
2. เคส (Case)
เคส คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อ และขนาด ของเคสจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแบบที่นิยมกัน แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกซื้อตามความเหมาะสม ของงาน และสถานที่นั้น
เคส (case)
3. พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ต่อพวงเยอะๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ ดีวีดีไดรฟ์ก็ควรเลือกพาวเวอร์ซัพพลายที่มีจำนวนวัตต์สูง เพื่อให้สามารถ จ่ายกระแสไฟได้เพียงพอ
Power Supply
4. คีย์บอร์ด (Keyboard)
เป็นอุปกรณ์ในการรับข้อมูลที่สำคัญที่สุด มีลักษณะคล้ายแป้นพิมพ์ ของเครื่องพิมพ์ดีด มีจำนวนแป้น 84 - 105 แป้น ขึ้นอยู่กับแป้นที่เป็น กลุ่มตัวเลข (Numeric keypad) กลุ่มฟังก์ชัน (Function keys) กลุ่มแป้นพิเศษ (Special-purpose keys) กลุ่มแป้นตัวอักษร (Typewriter keys) หรือกลุ่มแป้นควบคุมอื่น ๆ (Control keys) ซึ่งการสั่งงานคอมพิวเตอร์และการทำงานหลายๆ อย่างจำเป็นต้องใช้แป้นพิมพ์เป็นหลัก
Keyboard
5. เมาส์ (Mouse)
อุปกรณ์รับข้อมูลที่นิยมรองจากคีย์บอร์ด เมาส์จะช่วยในการบ่งชี้ตำแหน่งว่าขณะนี้กำลังอยู่ ณ จุดใดบนจอภาพ เรียกว่า "ตัวชี้ตำแหน่ง (Pointer)" ซึ่งอาศัยการเลื่อนเมาส์ แทนการกดปุ่มบังคับทิศทางบนคีย์บอร์ด
Mouse
6. เมนบอร์ด (Main board)
แผ่นวงจรไฟฟ้าแผ่นใหญ่ที่รวมเอาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญๆมาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุม การทำงานของ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในพีชีทั้งหมด มีลักษณะเป็นแผ่น รูปร่างสี่เหลี่ยมแผ่นที่ใหญ่ที่สุดในพีชี ที่จะรวบรวมเอาชิปและไอชี (IC = Integrated Circuit) รวมทั้ง การ์ดต่อพ่วงอื่นๆ เอาไว้ด้วยกันบนบอร์ดเพียงอันเดียวเครื่องพีชีทุกเครื่องไม่สามารถทำงาน ได้ถ้าขาดเมนบอร์ด
Mainboard
7. ซีพียู (CPU)
ซีพียูหรือหน่วยประมวลผลกลาง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลจากข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ 1) หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit: ALU) หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงานเกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร อีกทั้งยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องคำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไข นั้นเป็น จริง หรือ เท็จ ได้ 2) หน่วยควบคุม (Control Unit) หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล รวมไปถึงการประสานงานกับอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย ซีพียูที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ได้แก่ Pentium III , Pentium 4 , Pentium M (Centrino) , Celeron , Dulon , Athlon
CPU
8. การ์ดแสดงผล (Display Card)
การ์ดแสดงผลใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู โดยที่การ์ดบางรุ่นสามารถประมวลผลได้ในตัวการ์ด ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการประมวลผลให้ซีพียู จึงทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นเร็วขึ้นด้วย ซึ่งตัวการ์ดแสดงผลนั้นจะมีหน่วยความจำในตัวของมันเอง ถ้าตัวการ์ดมีหน่วยความจำมาก ก็จะรับข้อมูลจากซีพียูได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีความเร็วสูงขึ้นด้วย
Display Card หลักกันทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ ซีพียูเมื่อซีพียูประมวลผล เสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้น การ์ดแสดงผล ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจร ในการเร่งความเร็วการแสดงผลภาพสามมิติ และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร
9. แรม (RAM)
RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำหลักแต่ไม่ถาวร ซึ่งจะต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดในการทำงาน โดยถ้าเกิดไฟฟ้ากระพริบหรือดับ ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำจะหายไปทันที
SDRAM DDR-RAM RDRAM โดยหลักการทำงานคร่าวๆ ของแรมนั้นเริ่มต้นที่รับข้อมูลจากผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์ Input จากนั้นก็จะส่งข้อมูลไปยัง CPU ในการประมวลผล เมื่อ CPU ประมวลผลเสร็จแล้ว แรมจะรับข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลแล้ว ออกไปยังอุปกรณ์ Output ต่อไป โดยหน่วยความจำแรมที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น SDRAM, DDR-RAM, RDRAM
10. ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือโปรแกรมต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยฮาร์ดดิสค์จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกนอก เป็นโลหะแข็ง และมีแผงวงจรสำหรับการควบคุมการทำงานประกบอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับช่องเสียบสายสัญญาณและสายไฟเลี้ยง ส่วนประกอบภายในจะถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด โดยฮาร์ดดิสค์ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก(platters) สองแผ่นหรือมากกว่ามาจัด เรียงอยู่บนแกนเดียวกันเรียก Spindle ทำให้แผ่นแม่เหล็กหมุนไปพร้อม ๆ กัน จากการขับเคลื่อนของมอเตอร์ แต่ละหน้าของแผ่นจานจะมีหัวอ่านเขียนประจำเฉพาะ โดยหัวอ่านเขียนทุกหัวจะเชื่อมติดกันคล้ายหวี สามารถเคลื่อนเข้าออกระหว่างแทร็กต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ในปัจจุบัน มีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน - IDE (Integrated Drive Electronics) เป็นระบบของ ฮาร์ดดิสก์อินเตอร์เฟสที่ใช้กันมากในปัจจุบันนี้ การต่อไดร์ฟฮาร์ดดิสก์แบบ IDE จะต่อผ่านสายแพรและคอนเน็คเตอร์จำนวน 40 ขาที่มีอยู่บนเมนบอร์ด ส่วนใหญ่แล้วใน 1 คอนเน็คเตอร์ จะสามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ตัวและบนเมนบอร์ด
Harddisk แบบ IDE
IDE Cable - SCSI (Small Computer System Interface)เป็นอินเตอร์เฟสที่แตกต่างจากอินเตอร์เฟสแบบอื่น ๆ มาก โดยจะอาศัย Controller Card ที่มี Processor อยู่ในตัวเองทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายกับแผงวงจรใหม่โดยจะสนับสนุนการต่ออุปกรณ์ได้ถึง 8 ตัว แต่การ์ดบางรุ่นอาจจะได้ถึง 14 ตัวทีเดียว โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้งานในรูปแบบ Server เพราะมีราคาแพงแต่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง
Harddisk แบบ SCSI
SCSI controller - Serial ATA (Advanced Technology Attachment)เป็นอินเตอร์เฟสแบบใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2545 งาน PC Expo ใน New York มีความเร็วในเข้าถึงข้อมูลถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที และให้ผลตอบสนองในการทำงานได้เร็วมากในส่วนของ extreme application เช่น Game Home Video และ Home Network Hub โดยเป็นอินเตอร์เฟสที่จะมาแทนที่ของ IDE ในปัจจุบัน
Harddisk แบบ Serial ATA
Serial ATA Cable
11. CD-ROM / CD-RW / DVD / DVD-RW
เป็นไดรฟ์สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม หรือดีวีดีรอม ซึ่งถ้าหากต้องการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นจะต้องใช้ไดรฟ์ที่สามารถเขียนแผ่นได้คือ CD-RW หรือ DVD-RW โดยความเร็วของ ซีดีรอมจะเรียกเป็น X เช่น 16X , 32X หรือ 52X โดยจะมี Interface เดียวกับ Harddisk
CD-ROM การทำงานของ CD-ROM ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรฟ์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกกรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก "แลนด์" สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก "พิต" ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 1 และ 0 แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด 1 และ 0 ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น
12. ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)
เป็นอุปกรณ์ที่กำเนิดมาก่อนยุคของพีซีเสียอีก โดยเริ่มจากที่มีขนาด 8 นิ้ว กลายมาเป็น 5.25 นิ้ว จนมาถึงปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3.5 นิ้ว ในส่วนของความจุเริ่มต้นตั้งแต่ไม่กี่ร้อยกิโลไบต์มาเป็น 1.44 เมกะไบต์ และ 2.88 เมกะไบต์ ตามลำดับ
Floppy Disk Drive ในปัจจุบันการใช้งานฟล็อปปี้ดิสก์นั้นน้อยลงไปมากเพราะ เนื่องจากจุข้อมูลได้น้อยซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่ฟล็อปปี้ดิสก์ก็ยังคงเป็นมาตรฐานหนึ่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมี การพัฒนาฟล็อปปี้ดิสก์ก็ไม่ได้หยุดยั้งไปเสียทีเดียว ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ระบบ Optical ทำให้สามารถขยายความจุไปได้ถึง 120 เมกะไบต์ต่อแผ่น
Kapook Glitter

Kapook Glitter รวบรวม Glitter Comment ใน Hi5 Myspace และ Planet มากมาย ที่นี่เลยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

สุภาษิตสอนหญิง





สุภาษิตสำนวนไทย
ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียนอันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีปก็ล่วงลับดับไกลนัยนา ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนองให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม
๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ สงวนงามตามระบอบให้ชอบกลเป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง
๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์ เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาดถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์
๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดืออย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวนอนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชายอันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมองจริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช
จำนงเนียรนบบาทพระศาสดาดังประทีปส่องทั่วทุกทิศาสู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผมโดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคลบำรุงรักกายไว้ให้เป็นผลจึงจะพ้นภัยพาลการนินทาก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่าจะพลอยพาหอมหายจากกายนางดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหางให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกินบำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขินคงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรงว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในทีอย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถีเหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือเขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควรระวังปิดปกป้องของสงวนจงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อายจงรู้จักอาการประมาณหมายอย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแลเหมือนทำนองแนะออกบอกกระแสคนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม

๏ อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ หอมผกาเกสรขจรขจาย ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาสไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรักอันความรักของชายนี้หลายชั้น จงพินิจพิศดูให้รู้แน่เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจอันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญอย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด จงฟังหูไว้หูกับผู้คน
๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้ ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาวเขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้ ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้าลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่ ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไปแต่ใจคนมักรนไปหาผิด ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง
มิใช่จักตัดทางที่สร้างสมอย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคีเขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่เหมือนจามรีรู้จักรักษากายพึงประเวศผุดพ้นชลสายมิได้วายภุมรินถวิลปองก็นิราศแรมจรัลผันผยองดูทำนองใจชายก็คล้ายกันให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่นเขาว่ารักรักนั้นประการใดอย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหลมันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลางสารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่างมาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัยจะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหนอย่าควรให้ตามคำเขารำพันสุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกงใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผงมันชักโยงอยากกินแต่สินบนต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหนสืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงไหลแม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจนเหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผลแล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราวให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาวแล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยามีหาไม่เงินทองก็ต้องหาค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลงแสนลำบากบอบนักอย่ามักหลงหน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไปก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรมคอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉมต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัวต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัวจะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจจงระวังชั่วช้าอัชฌาสัยใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมืองครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลืองสุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว

๏ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัวลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาวถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ คงมีผู้ชูช่วยประคับประคองถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมองอย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า จงระวังตั้งมั่นในสันดาน เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์ แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่าถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล
จะดีชั่วก็ยังกำลังสาวจะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรองถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมองเปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามีจะปัดแผ้วถางฝืนไม่คืนที่ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงในถือทำนองแบบโบราณท่านขานไขจงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาลเขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวานอย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชายอย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่ายต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตนจะจองจำตีโบยออกโหยหนไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัวกลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัวเราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเองเพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็งใจตัวเองพาหลงไปลงตมหมายจะกองทุนสินกินขนมจึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใสก็มีใจสรรเสริญเจริญพร

๏ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้ คิดถึงหน้าบิดาและมารดรเมื่อสุกงอมหอมหวานจึงควรหล่น อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้ อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอดเขม้นขะมักรักงานการของตน เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาลด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณอุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์ จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง เทพไทในห้องสิบหกชั้น ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล
๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ใยดี เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่ ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทราถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า ให้ยากยับอัปราอนาทร แม้จะมีเงินทองของทั้งหลายจะเกิดโจรราวีอัคคีภัยหญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยงแม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง
อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอนอย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดีอยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสมจะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจนอย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผลอย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแชอย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกันจะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่นจงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลงอย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนานให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวานจงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวงกุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวงกว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมานจะชวนกันสรรเสริญเจริญสารได้เลี้ยงท่านชนกชนนี
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศีดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถมไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชาคงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลาทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอนเทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจคงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัยเพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณจะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุลเนรคุณมิได้คิดอนิจจังจงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถังดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม

๏ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาวให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุมอย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกูแม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปากแม้นพูดดีมีคนเขาเมตตาถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยวเมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตามถึงจะไปในพิภพให้จบทั่วจงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌา เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น ค่อยวอนว่าข้าขอจรดลแม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์ อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่งใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง
ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุมจงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบางตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมางจะไว้วางกริยาให้น่าดูอย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหูคนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจอย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัยด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอาจะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหาจะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความอย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยามมันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็นแต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็นจึงจะเป็นคนดีมีปัญญาจงระวังในจิตขนิษฐาแม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคนอย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหนนั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนางอย่าหลับไหลลืมกายจนสายสางความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัวไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัวแม้นจะหัวหัวร่อพอสบายอย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลายอย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริงอย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิงทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป

๏ เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา มีข้าไทใช้สอยค่อยสบายการวิชาหาประดับสำหรับร่าง การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวายพออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไรค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่งของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิมอย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป
แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปีแต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวีจะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยาให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสาจะได้หาเลี้ยงกันจนวันตายจึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวายตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรงอย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉงอย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจอย่าให้กายตกยากลำบากได้อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกินค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอายทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหายอย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญอย่าทำแข่งวาสนากระยาหงันเหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไรอย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัยตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร

๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่วสุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวลพอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศีตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู วันนี้มีละครใครที่ไหนมา นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลงบ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้นห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิงใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนักเที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอาที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระคบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ
ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวนเป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กลให้เวียนหวีได้วันละพันหนแต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลายังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหาแม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไปดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหลช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอายเที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงายพวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริงปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิงจะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียวทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยวประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตราเห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉานั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดนสู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสนก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบายให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหายไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บจะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือนคิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อนจะคบคนพลเรือนก็เต็มทีด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืนจนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืนใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบจำจะบวกบอกใส่เสียให้จบหล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล

๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดานล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่นถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์ เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์ อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้ ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร
เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐานเห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามาเที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนาเป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริงเป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิงเขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอยเขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอยไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดีเขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผีมันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาวถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาวไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชนเห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสนลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดีว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรีแม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไปอย่าถือว่าตนงามตามวิสัยเขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ



ี่ ๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์ เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์ ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่ เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่ เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง ๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคางเพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์ โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย
แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐานแลละลานล้วนสุวรรณอันลออเอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบายต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหายสายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้องผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลืองจนทองเหลืองไม่ละจะกละงามทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสามไม่มีความอายจิตสักนิดเดียวสมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียวไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลงจะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็งเขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนดใครมาจดโผจับรับตะกางเล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้างก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟันทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสันยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจรจนลือดังข่าวก้องดังกลองโขนจนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชยต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉยด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล

๏ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลงไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียงท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์ เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้ อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย
๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ พลอยประจบหลบความไปตามเพลงทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชายก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืนที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์ อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขาจะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไปแม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง
ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสานบอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความชวนกันเดินหลีกออกนอกสนามจนเลยลามลืมบ้านสถานตนเป็นโรครักเกิดมารศีรษะขนหมายประจญจะให้ดับที่อับอายจะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหายคงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตราก็อาดูรพูนเกิดสหัสสาเป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทาเอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขาพอปัดเป่าความอายให้หายแคลงมันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนงมาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือเหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือนึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มีมันขายพักตร์สารพัดจะบัดสีแต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียงไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียงเป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมียไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสียย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนางจะเกิดมาทำไมให้หมองหมางจะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไปคนจึงลามเลยลวนมากวนได้จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัวจับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัวถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชายสุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลายก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเองเขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหงเพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเขาจับได้ชายชู้ดูน่าขันต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวนไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวลแลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป ก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัยจะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตนข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอายจึงจำกัดศักดินาราคาขายมันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืนอยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่นต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอนมีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอนที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดีแต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสีชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคนมันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝนทำซุกซนจนได้ยากลำบากกายจะลงรักทองปิดไม่มิดหายเปรียบเหมือนกายกามีราคีคาวคงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาวไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารีถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย

๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ อันความดีมีอยู่ดูจำไว้ จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอมอย่าคบชู้สู่สมนิยมหวังเขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้ธุระอะไรจะให้มันเสียของเพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอจะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญจงกันภัยในเล่ห์เสน่หา เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณจงซื่อต่อภัสดาสวามี อย่าให้มีราคินที่กินใจถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา
๏ แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต คำนับนอบสามีทุกวี่วัน ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์ เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรงประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ นอนให้ดีมีสติสิริเรา จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้ อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้ อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนาอยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง
จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่ อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอมจงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอมมโนน้อมเสน่หาต่อสามีไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรีถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรออันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอควรบำเรอลูกผัวของตัวตนเพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผลจะพาตนยากยับอัประมาณอย่าให้มาปนปะจงประหารถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไรจนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัยอุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดาด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์ อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอนจุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อนทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลงจงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลงช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทาอย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขาอย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับน้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพจัดประดับเทียมทำให้น้ำนวลให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วนจงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการแต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถานให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนาเผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหาจงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวังนางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลังเขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี

๏ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน
๏ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้ เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม อันโมโหโทโสไม่อดได้ ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา แม้นผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่นค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน
๏ แม้นพิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา พึ่งข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง จึงจะว่านารีมีความคิด ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา การนินทาด่าผัวนั้นชั่วถ่อย ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ
๏ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ สำรากก้องร้องแทรกแหกกระแซง ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว ทรมานภัสดาน่าสังเวช ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู ช่างกระไรใจคอมันอดได้ จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบจะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน
๑___สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้ ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ เป็นตำหรับแบบฉบับไปยืดยาวข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความอย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา
เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรีหมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกินตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจสินจึงจะภิญโญยศปรากฎไป
อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาสัย ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสมแม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วามความในใจก็จะดังออกกลางสนามอย่าทำตามใจนักมักจะเคยหมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉยอย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจเห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัยแม้นสิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำอย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำอย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือนประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือนจะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง
อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลังอุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงารู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลาหนึ่งผัวเขาเล่าก็เห็นว่าเป็นดีเป็นคนน้อยปัญญาเสียราศีชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไปถึงตีด่าก็นิ่งไม่ติงไหวก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง
หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็งตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัวให้สามีอัปยศลงหดหัวมัดมือผัวผูกแขนแค่นเฆี่ยนตีดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสีที่ไม่มีภัสดาให้มาดูนิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสูมิได้สู้รบรับสัประยุทธ์ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษน้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้นคงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขันร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน
ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรรคนทุกวันอย่างนี้มีอาเกียรณ์ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียนตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราวเป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาวในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความจงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยามประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดีจงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรีกันบัดสีคำค่อนคนนินทาหอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศาในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย

สุภาษิต

ได้แก่คำพูดที่พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นทำนองสำนวนโวหาร หรือคำพังเพย แต่มีเนื้อความหรือความหมายที่ดี เป็นคำตักเตือนสั่งสอน และสะกิดใจให้ระลึกถึงอยู่เสมอ มีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย ตีความหมายเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
2. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของคำเหล่านั้น เช่น ผีบ้านไม่ดีผีป่าก็พลอย
สำนวน
ความหมาย ได้แก่คำที่พูดหรือกล่าวออกมาทำนองเป็นโวหาร เป็นคำพังเพยเปรียบเทียบ จึงฟังแล้วมักจะ ไม่ได้ความหมายของตัวมันเอง ต้องนำไปประกอบกับบุคคล กับเรื่อง หรือเหตุการณ์จึงจะได้ความหมายเป็น คติ เตือนใจเช่นเดียวกับคำที่เป็นสุภาษิต
คำพังเพย
หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นมาเป็นความหมายกลาง ๆ คือ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่ก็แฝงคติเตือนใจหรือ ข้อคิดสะกิดใจให้นำไปปฏิบัติได้ และ เนื้อหาของใจความนั้นก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความดี หรือ ความจริงแท้ แน่นอน
คำคม
หมายถึง ถ้อยคำที่คิดขึ้นมาในปัจจุบันทันด่วน เป็นถ้อยคำที่หลักแหลม ซึ่งสามารถเข้ากับเหตุการณ์นั้น ได้อย่างเหมาะเจาะ ทั้งยังชวนให้คิด ถ้าพูดติดปากกันต่อไปก็จะกลายเป็นสำนวนไปได้

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

ระเบียบแถวลูกเสือ

พิธีการสวนสนามและกล่าวคำปฎิณาญของคณะลูกเสือ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปณาคณะลูกเสือแห่งชาติ 1 กรกฎาคม
การสวนสนามและกล่าวคำปฎิญาณของลูกเสือ
วันที่ ๑ กรกฎาคม ของทุกปี ถือว่าเป็นวันคล้ายวันสถาปณาคณะลูกเสือแห่งชาติ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์ได้ทรงสถาปณากิจการลูกเสือไทยขึ้นเป็นครั้ง แรก เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ทางคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ จึงได้ถือเอา วันที่ ๑ กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันที่ ลูกเสือทุกคนทุกประเภท จะต้องแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน โดยการกล่าวคำปฏิญาณของลูกเสือเฉพาะพระพักต์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือตัวแทนพระองค์ หรือพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกระทำพิธีสวนสนาม ซึ่งมีขั้นตอนและพิธีปฎิบัติดังนี้
พิธีการนี้เป็นการจัดในระดับอำเภอหรือที่โรงเรียนซึ่งไม่มีธงคณะลูกเสือแห่งชาติหรือธงลูกเสือประจำจังหวัด
การจัดเตรียมสถานที่
๑.ในการจัดพิธีภายในจังหวัดให้นำธงลูกเสือประจำจังหวัดอัญเชิญโดยกองลูกเสือเกียรติยศมาประจำแท่นที่เตรียมเพื่อรับการเคารพ
๒.เครื่องหมายหรือธงที่จะแสดงจุดที่จะให้ลูกเสือแสดงความเคารพ จะมี ๓ จุด คือ
ธงที่ ๑ ธงเตรียมทำเคารพอยู่ห่างจากผู้รับการเคารพไปทางซ้ายมือของผู้รับการเคารพ ๒๐ ก้าว
ธงที่ ๒ ธงเริ่มทำความเคารพอยู่ห่างจากผู้รับการเคารพไปทางซ้ายมือของผู้รับการเคารพ ๑๐ ก้าว
ธงที่ ๓ ธงเลิกทำความเคารพอยู่ถัดจากผู้รับการเคารพไปทางขวามือของผู้รับการเคารพ ๑๐ ก้าว
ลูกเสือและผู้บังคับบัญชาลูกเสือที่จะเข้าร่วมพิธีสวนสนาม
๑.ประธานในพิธีแต่งเครื่องแบบลูกเสือตามตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง กางเกงขาสั้น ซึ่งประธานถ สำหรับพิธีในจังหวัดจะได้แก่ผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด หรือรองผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด ประธานในพิธีสำหรับอำเภอ ได้แก่ ผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอหรือรองผู้อำนวยการลูกเสืออำเภอ
๒.แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมในพิธีแต่งเครื่องแบบลูกเสือกางเกงขาสั้นตามตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง
๓.ผู้กำกับกองลูกเสือและรองผู้กำกับกองลูกเสือแต่งเครื่องแบบลูกเสือกางเกงขาสั้นตามประเภทของลูกเสือที่ตนทำหน้าที่เป็นผู้กำกับกองและรองผู้กำกับกอง ถ้าเป็นลูกเสือสามัญ ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ลูกเสือวิสามัญ จะต้องมีไม้ถือของลูกเสือตามประเภทของลูกเสือ ส่วนลูกเสือสำรองไม่ต้องมีไม้ถือ
๔.ลูกเสือแต่งเครื่องแบบลูกเสือตามประเภทของตน ลูกเสือสามัญ มีไม้พลอง นายหมู่มีธงหมู่ ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่และลูกเสือวิสามัญ มีไม้ง่าม นายหมู่มีธงหมู่ ลูกเสือสำรองไม่มีไม้พลองหรือไม้ง่าม
๕.ลูกเสือผู้ทำหน้าที่ถือป้ายกองลูกเสือ ๑ คน แต่งเครื่องแบบตามประเภทที่ตนสังกัด
๖.ลูกเสือผู้ทำหน้าที่ ถือธงประจำกองลูกเสือ ๑ คน แต่งเครื่องแบบตามประเภทที่ตนสังกัด
๗.ลูกเสือ ๑ กองจะประกอบด้วยลูกเสือ ๖ - ๘ หมู่ หมู่ ๑ประกอบด้วยลูกเสือ ๗ - ๘ คน
๘.ผู้กำกับกองลูกเสือ ๑ คนและรองผู้กำกับกองลูกเสือ ๑ คน ต่อลูกเสือ ๑ กอง
๙.วงดุริยางค์ที่ร่วมในพิธีแต่งเครื่องแบบลูกเสือตามประเภทที่ตนสังกัด
๑๐.ลูกเสือชาวบ้านแต่งชุดปกติสวมผ้าผูกคอลูกเสือชาวบ้านติดเครื่องหมายคณะลูกเสือแห่งชาติ
การเตรียมแถวและรูปขบวนเพื่อทำพิธีสวนสนาม
๑.ลูกเสือที่ทำหน้าที่ถือป้ายชื่อกองลูกเสือยืนอยู่ด้านหน้าสุด
๒.ลูกเสือที่ทำหน้าที่ถือธงประจำกองลูกเสือยืนห่างจากผู้ถือป้ายกองลูกเสือ ๕ ก้าว
๓.ผู้กำกับกองลูกเสือ ๑ คน ยืนห่างจากผู้ถือธงประจำกองลูกเสือ ๕ ก้าว
๔.รองผู้กำกับกองลูกเสือ ๑ คน ยืนห่างจากผู้กำกับกองลูกเสือ ๕ ก้าว
๕.ลูกเสือจัดแถวหน้ากระดานหมู่ปิดระยะ นายหมู่อยู่ทางขวามือ ห่างจากรองผู้กำกับฯ ๓ ก้าว
๖.ระยะห่างระหว่างหมู่ ๑ ก้าว
๗.ลูกเสือแต่ละกองจะมีผู้กำกับฯ ๑ คน และรองผู้กำกับฯ ๑ คน ยืนต่อกันไปด้านหลังจากกองที่ ๑
๘.กองลูกเสือของแต่ละโรงเรียนจะยืนเรียงกันไป ระยะห่างระหว่างกอง ๕ ก้าว
๙.แถวกองผสม ซึ่งหมายถึงผู้กำกับฯที่มาร่วมพิธีและไม่ได้ประจำกองลูกเสือ จัดแถวหน้ากระดาน เรียง ๘ โดยมีผู้บังคับขบวนสวนสนามยืนตรงกลางหน้าสุด เมื่อเริ่มเดินสวนสนาม
๑๐.แท่นรับความเคารพและพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ตรงหน้าแถวลูกเสือทั้งหมด
การเริ่มพิธีสวนสนามและกล่าวคำปฎิญาณของลูกเสือ
๑.กองลูกเสือตั้งแถวตามที่กำหนดไว้ ยืนอยู่ในท่าตามระเบียบพัก
๒.กองผสมตั้งแถวอยู่ที่หัวขบวน
๓.ผู้บังคับขบวนสวนสนามยืนประจำที่เตรียมพร้อมที่จะกล่าวรายงานต่อประธานในพิธี
๔.แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมพิธีตั้งแถวรอรับประธาน
๕.เมื่อถึงเวลาประธานในพิธีมาถึงบริเวณพิธี ผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง "ลูกเสือทั้งหมดตรง" "เคารพประธานในพิธี (ตรงหน้า-,ทางขวา,ทางซ้าย-ระวัง) " "วันทยาวุธ" ลูกเสือทุกคนทำความเคารพ ผู้ที่มีไม้พลอง ไม้ง่าม ทำวันทยาวุธ ผู้กำกับลูกเสือทำความเคารพด้วยท่าไม้ถือ แขกผู้มีเกียรติ และผู้ที่ไม่มีไม้ถือให้ทำวันทยาหัตถ์ ลูกเสือสำรองยืนในท่าตรงไม่ต้องทำ วันทยาหัตถ์ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ผู้ที่ถือธงทำความเคารพด้วยท่าธง ผู้ถือป้าย ยืนตรงไม่ต้องทำวันทยาหัตถ์ประธานในพิธีและผู้ติดตามที่แต่งเครื่องแบบลูกเสือรับความเคารพ ด้วยการทำวันทยาหัตถ์ จนจบเพลงหมาฤกษ์
๖.เมื่อวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์จบ ผู้บังคับขบวนสวนสนามวิ่งไปรายงานจำนวนผู้บังคับบัญชา ลูกเสือและจำนวนลูกเสือที่มาร่วมในพิธีและเชิญประธานตรวจพลสวนสนามและเดินตามประธานตรวจพล พร้อมผู้ติดตาม ในขณะนั้นทุกคนทำวันทยาวุทธและท่าตรง เมื่อประธานเดินผ่านกองลูกเสือใดให้ผู้ถือธง ประจำกองลูกเสือทำความเคารพด้วยท่าเคารพธง จนตรวจครบทุกกองผู้บังคับขบวนสวนสนามส่งประธาน ประจำที่และกลับประจำที่เดิมสั่ง " เรียบ-อาวุธ " ทุกคนปฎิบัติตาม
๗.ตัวแทนลูกเสือกล่าวรายงานกิจการลูกเสือในรอบปี หรือถ้ามีลูกเสือได้รับเครื่องหมายลูกเสือสรรถ เสริญหรือเหรียญสดุดีลูกเสือหรือได้รับเครื่องหมายวูดแบด ก็อาจจะทำพิธีมอบในเวลานี้
๘.ผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง "ลูกเสือสำรองเตรียมกล่าวปฎิญาณ - ตามข้าพเจ้า -แสดงรหัส" ทุกคนแสดงรหัสลูกเสือสำรองแสดงรหัสลูกเสือสำรอง ด้วยการทำวันทยาหัตถ์ ๒ นิ้ว ลูกเสืออื่น และผู้อยู่ในบริเวณพิธีแสดงรหัสลูกเสือ ๓ นิ้ว ไม่ต้องกล่าวตาม ลูกเสือสำรองกล่าวตาม
" ข้าสัญญาว่า"
ข้อ ๑ ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อ ๒ ข้าจะยึดมั่นในกฎของลูกเสือสำรองและบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นทุกวัน
เมื่อกล่าวจบ ผู้บังคับขบวนสนามสั่ง " ลูกเสือสามัญ -ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ๋-ลูกเสือวิสามัญ-ลูกเสือ ชาวบ้าน-กล่าวคำปฎิญาณตามข้าพเจ้า" ทุกคนยังแสดงหรัสอยู่และกล่าวคำปฎิญาณตาม ส่วนลูก เสือสำรองยืนในท่าตรง ไม่ต้องกล่าว
" ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า"
ข้อ ๑ ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อ ๒ ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ ๓ ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ
เมื่อกล่าวจบ ผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง " เอามือลง - ตามระเบียบพัก " ในการแสดงรหัสของลูกเสือที่ถือไม้พลองหรือไม้ง่าม ให้เอาไม้ง่ามหรือไม้พลองพิงไว้ที่ไหล่ซ้ายโคนไม้ อยู่ระหว่างปลายเท้าทั้ง ๒ แขนซ้ายงอตั้งฉาก มือขวาแสดงหรัส ผู้ที่ถือธงก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ที่ถือไม้ง่าม หรือไม้พลอง ผู้ที่ถือป้านให้ถือป้ายด้วยมือซ้ายมือขวาแสดงรหัส ผู้กำกับที่มีไม้ถือก็แสดงรหัสด้วยมือขวา มือซ้ายถือไม้ถือ ลูกเสือหรือผู้บังคับบัญชาลูกเสือที่ไม่มีไม้ถือ ก็ให้ยืนตรงแสดงรหัสด้วยมือขวา
๙.เมื่อกล่าวคำปฏิญาณจบประธานให้โอวาท เมื่อจบแล้ว ผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง "ลูกเสือทั้งหมดตรง" "เตรียมสวนสนาม" หากมีแตรเดี่ยว แตรเดี่ยวก็จะวิ่งมาตรงหน้าประธานและเป่าแตรเตรียมสวนสนาม เมื่อแตรเป่าจบผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง "ขวาหัน" ดุริยางบรรเลงเพลงเดินสวนสนาม เช่น เพลงสยามมานุสติ ผู้บังคับขบวนสวนสนามวิ่งไปยืนหน้ากองผสม สั่ง "กองผสม-หน้าเดิน" เมื่อเดินผ่านประธานแล้วให้วิ่งไปยืนทางด้านข้างประธานในท่าวันทยาวุทธ ส่วนกองผสมเดินผ่านไปแล้วเข้าประจำที่เดิม
๑๐.สำหรับกองลูกเสือแต่ละกองเมื่อพร้อมแล้ว รองผู้กำกับฯของแต่ละกองสั่ง "แบกอาวุธ" "หน้าเดิน
๑๑.เมื่อผู้กำกับกองลูกเสือเดินผ่านธงที่ ๑ ให้อยู่ในท่าบ่าอาวุธ ผ่านธงที่ ๒ ให้ทำความเคารพ ผ่านธงที่ ๓ ให้เลิกทำความเคารพ
๑๒.เมื่อรองผู้กำกับกองลูกเสือผ่านธงที่ ๑ ให้สั่ง "ระวัง" และอยู่ในท่าบ่าอาวุธ เมื่อผ่านธงที่ ๒ ให้สั่ง "แลขวาทำ" ตัวรองผู้กำกับก็ทำความเคารพ เมื่อผ่านธงที่ ๓ ก็ให้เลิกทำความเคารพ
๑๓.กองลูกเสือเมื่อรองผู้กำกับสั่ง "แบกอาวุธ"ก็แบกอาวุธและหน้าเดิน เมื่อได้ยินรองผู้กำกับฯสั่ง "ระวัง" ทุกคนก็เตรียมตัวทำความเคารพ เมื่อรองผู้กำกับฯสั่ง "แลขวาทำ " ทุกคนสลัดหน้าไปทางขวายกเว้น นายหมู่ให้หน้ามองตรง แขนแกว่งปกติทุกคน ทั้งนี้ให้เริ่มทำเมื่อได้ยินคำสั่งไม่ต้องรอให้ถึงธงที่ ๒ และเมื่อเดินถึงธงที่ ๓ ให้เลิกทำเองโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ๑๔.สำหรับลูกเสือสำรองซึ่งไม่มีไม้พลองหรือไม้ง่าม เมื่อได้ยินคำสั่ง "ระวัง"ก็เดินปกติ เมื่อได้ยินคำ สั่ง "แลขวา-ทำ" ก็สลัดหน้าไปทางขวายกเว้นนายหมู่หน้ามองตรงไปข้างหน้า แขนทั้ง ๒ ข้างแนบลำตัวไม่ต้องทำวันทยาหัตถ์ เมื่อผ่านธงที่ ๓ ก็เดินแกว่งแขนปกติไม่ต้องรอคำสั่ง
๑๕.เมื่อลูกเสือทุกกองเดินผ่านประธานครบแล้วก็เดินกลับประจำที่เดิมรอส่งประธาน
๑๖.ผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง "ลูกเสือทั้งหมด-ตรง" "เคารพประธาน-ตรงหน้าระวัง " "วันทยาวุธ" ดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ทุกคนทำความเคารพเหมือนเมื่อตอนที่ประธานมา
๑๗.เมื่อวงดุริยางค์บรรเลงจบ ประธานกลับ ผู้บังคับขบวนสวนสนามสั่ง "เรียบ - อาวุธ" "เลิกแถว" เป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นอาจจะมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ของลูกเสือแต่ละกอง
การทำความเคารพของผู้ถือธงประจำกองลูกเสือ
ขณะอยู่กับที่
ให้ถือธงด้วยมือขวา โคนคันธงจดพื้นและแนบกับลำตัว แขนซ้ายแนบลำตัวอยู่ในท่าตรง เมื่อได้ยินคำสั่งให้ทำความเคารพ ใช้มือซ้ายจับคันธงเหนือมือขวาและยกคันธงขึ้นมาด้วยมือซ้ายมือขวาจับคันธงเหยียดถ ตรงแนบลำตัว ยกคันธงขึ้นมาจนแขนซ้ายเสมอบ่าขวา ข้อศอกซ้ายตั้งได้ฉาก ครั้นแล้วทำกึ่งขวาหัน ลดปลายธงลงข้างหน้าช้าๆ จนคันธงขนานกับพื้น มือซ้ายอยู่เสมอแนวบ่าห่างจากตัวพอสมควร มือขวาจับโคนคันธงแขน เหยียดตรงไปทางด้านหลังตามแนวคันธง แล้วค่อยๆยกคันธงขึ้นช้าๆ จนคันธงตั้งตรง ทำกึ่งซ้ายหัน ใช้มือซ้ายจับคันธงลดลงมา จนมือซ้ายชิดมือขวา โค่นคันธงจดพื้น สลัดมือซ้ายกลับอยู่ในท่าตรง ท่าตามระเบียบพักก็ยืนเหมือนกับที่ตรง เพียงหย่อนเข่าซ้ายหรือขวาเล็กน้อย
ขณะเดิน
เมื่อได้ยินคำสั่งให้สวนสนามและแบกอาวุธให้ใช้มือซ้ายจับคันธงเหนือมือขวาแล้วชิดมือขวายกคันธงขึ้นมา ด้วยมือซ้ายมือขวาเจับคันธงเหยียดตรงแนบลำตัว ยกคันธงขึ้มาจนแขนซ้ายเสมอบ่าขวาข้อศอกซ้ายตั้ง ได้ฉากปล่อยมือซ้ายกลับลงที่เดิม งอข้อศอกขวา ๙๐ องศา คันธงอยู่บนบ่าขวา อยู่ในท่าแบกอาวุธ เมื่อเดิน ถึงธงที่ ๑ (ธงระวัง) ให้ลดธงลง จากบ่ามาแนบลำตัว มือซ้ายจับคันธงข้อศอกงอตั้งฉากขนานกับพื้นแขนขวาเหยียดตรงข้าลลำตัว ปลายธงชี้ ตรง เมื่อถึงธงที่ ๒ (ธงทำความเคารพ) ให้เหยียดแขนซ้ายตรงไปข้างหน้ากำคันธงไว้ ให้คันธงเอนออกไปข้างหน้า ประมาณ ๔๕ องศา แขนขวาเหยียดตรงแนบข้างลำตัว ตาแลตรงไปข้างหน้า เมื่อถึงธงที่ ๓ (ธงเลิกทำความเคารพ) ให้ดึงธงขึ้นมาอยู่ในท่าตรงสลัดแขนซ้ายกลับที่เดิมงอข้อศอกขวาคันธงอยู่บนบ่าขวาอยู่ในท่าแบกอาวุธเดินไปตามปกติ โอกาสที่จะทำความเคารพจะทำเมื่อ มีการบรรเลงเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงมหาฤกษ์เพลงมหาชัย เพลงสรรเสริญเสือป่า เมื่อธงคณะลูกเสือแห่งชาติ ธงลูกเสือจังหวัดที่เชิญผ่านไป องค์พระ ประมุขคณะลูกเสือแห่งชาติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ประธานในพิธีการลูกเสือที่แต่งเครื่องแบบ
การทำความเคารพของผู้ถือป้ายประจำกองลูกเสือ
ขณะอยู่กับที่
ให้ถือป้ายโดยใช้มือขวากำคันป้ายชิดกับแผ่นป้ายมือซ้ายกำต่อจากมือขวา โคนป้ายอยู่ระหว่างปลายเท้าทั้งสอง เมื่อได้ยินคำสั่งให้ทำความเคารพก็ยืนในท่าตรงปกติมืออยู่ที่เดิม เมื่อได้ยินคำสั่งให้แบกอาวุธ ให้ ปล่อยมือขวาลงมือซ้ายยกป้ายไปไว้ที่รองไหล่ขวา มือขวาจับที่โคนคันป้าย แขนซ้ายงอขนานกับพื้น แขนขวา เหยีดตรง แผ่นป้ายอยู่เหนือศรีษะเล็กน้อย
ขณะเดิน
เดินถือป้ายในท่าแบกอาวุธ หน้ามองตรง เมื่อเดินก่อนถึงธงที่ ๑ ประมาณ ๒๐ ก้าวให้บิดป้ายไปทางขวา และเดินไปเรื่อยๆจนผ่านธงที่ ๓ ให้บิดป้ายกลับ
การใช้ไม้ถือของผู้บังคับบัญชาลูกเสือ
ขณะทำความเคารพอยู่กับที่
ผู้บังคับบัญชาลูกเสือที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับกองลูกเสือสามัญ,สามัญรุ่นใหญ่, วิสามัญ และผู้ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับขบวนสวนสนามเมื่อร่วมพิธีสวนสนามและทบทวนคำปฎิญาณจะต้องมีไม้ถือ มีข้อปฏิบัติ คือ
๑.ท่าถือปกติ ใช้มือซ้ายถือไม้ถือ โดยเอาหนีบไว้ใต้ซอกรักแร้ แขนซ้ายท่อนบนขนานกับลำตัวและ หนีบไม้ไว้แขนซ้ายท่อนล่างเหยียดตรงไปข้างหน้า มือซ้ายกำโคนไม้ถือ ห่างปลายโคนไม้ถือประมาณ ๑ ฝ่ามือหงายฝ่ามือขึ้นให้ไม้ถือขนานกับพื้น
๒.ท่าบ่าอาวุธ เอามือขวาจับที่โคนไม้ถือ โดยคว่ำฝ่ามือลง แล้วดึงไม้ถือออกจากซอกรักแร้ ชี้ไม้ถือให้เฉียงประมาณ ๔๕ องศา ปลายชี้ขึ้นฟ้า แขนขวาเหยียดตรง ปล่อยแขนซ้ายลงข้างลำตัว หลังจากนั้นดึงไม้ถือเข้าหาปากห่างจากปากประมาณ ๑ ฝ่ามือ แขนขวางอตั้งฉากขนานกับพื้น ไม้ถือชี้ขึ้นตั้งตรงมือขวากำโคนไม้ถือ นิ้วทั้ง ๔ เรียงกันด้านนอก นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านใน จากนั้นจับไม้ถือเข้าหาร่องไหล่ขวา แขนขวาเหยีดตรงแนบลำตัว โคนไม้ถืออยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือ ปลายไม้ชี้ขึ้นตรงอยู่ในร่องไหล่ขวา
๓.ท่าวันทยาวุธ จะต้องทำต่อจากท่าบ่าอาวุธ ซึ่งในขณะนั้นไม้ถืออยู่ที่ร่องไหล่ขวา ให้ยกไม้ถือขึ้น เสมอปากห่างจากปากประมาณ ๑ ฝ่ามือ แขนขวางอขนานกับพื้น จากนั้นให้ฟาดไม้ลงให้ปลายไม้ชี้ที่พื้นดิน เฉียงประมาณ ๔๕ องศา ปลายไม้ห่างจากพื้นดินประมาณ ๑ คืบ แขนขวาแนบลำตัว แขนซ้ายแนบลำตัว เหมือนอยู่ในท่าตรง หน้ามองตรง
๔.ท่าเรียบอาวุธ ทำต่อจากท่าวันทยาวุธ ยกไม้ถือขึ้นเสมอปากแล้วดึงไม้ถือเข้าหาร่องไหล่ขวา เหมือนท่าบ่าอาวุธ (เป็นจังหวะที่ ๑ ซึ่งเมื่องสั่ง"เรียบ-อาวุธ" จะทิ้งจังหวะให้ทำในจังหวะที่ ๑ ก่น คือสั่งว่า "เรียบ" แล้วทิ้งช่วงไว้จนทำเสร็จจังหวะที่ ๑ แล้วสั่งว่า "อาวุธ" จึงเริ่มทำจังหวะที่ ๒) จากนั้นกำโคนไม้ถือ เหยียดแขนขวาขึ้นเฉียงขึ้น ๔๕ องศา ปลายไม้ถือชี้ขึ้นฟ้า หักข้อมือขวาลงให้ปลายไม้ถือชี้เข้าหาซอกรักแร้ ซ้ายงอแขนซ้ายขึ้นรองรับไม้ถือ จับไม้ถือด้วยมือซ้ายเหมือนท่าถือปกติ
การทำความเครพด้วยไม้ถือจะทำเมื่อได้ยินคำสั่ง ดังนี้
ครั้งที่ ๑ สั่งเมื่อประธานในพิธีมาถึงและวงดุริยางค์บรรเลงเพลง มหาฤกษ์ จนจบเพลง "เคารพประธานในพิธี-ตรงหน้าระวัง" ก็ดึงไม้ถือจากท่าถือปกติมาเป็นท่าบ่าอาวุธ"วันทยาวุธ" จับไม้ถือจากท่าบ่าอาวุธเป็นท่าวันทยาวุธ "เรียบ" จากท่าวันทยาวุธมาเป็นท่าบ่าอาวุธถ "อาวุธ" จากท่าบ่าอาวุธกลับมาเป็นท่าถือปกติ
ครั้งที่ ๓ เมื่อจะเริ่มสวนสนาม ดุริยางค์บรรเลงเพลงเดิน เช่น เพลงสยามมานุสติ"แบกอาวุธ" ทำจากท่าถือปกติมาเป็นท่าบ่าอาวุธ
ครั้งที่ ๔ สั่งเมื่อส่งประธานในพิธีกลับ ดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์"เคารพประธานในพิธี-ตรงหน้าระวัง" ก็ดึงไม้ถือจากท่าถือปกติมาเป็นท่าบ่าอาวุธ "วันทยาวุธ" จับไม้ถือจากท่าบ่าอาวุธเป็นท่าวันทยาวุธ "เรียบ" จากท่าวันทยาวุธมาเป็นท่าบ่าอาวุธ "อาวุธ" จากท่าบ่าอาวุธกลับมาเป็นท่าถือปกติ
ขณะเดินสวนสนาม
๑.เมื่อเริ่มเดินจะถือไม้ถืออยู่ในท่าบ่าอาวุธ แขนซ้ายแกว่งปกติ แขนขวาแกว่งเล็กน้อย
๒.เมื่อเดินถึงธงที่ ๑ ยกไม้ถือจากท่าบ่าอาวุธมาเสมอปาก ปลายไม้ชี้ขึ้นฟ้าแขนขวางอขนานกับพื้น แขนซ้ายแกว่งปกติ ผู้กำกับฯทำเองเมื่อเดินถึงธงที่ ๑ รองผู้กำกับฯ เมื่อถึงธงที่ ๑ ให้ทำพร้อมกับออกคำสั่งว่า "ระวัง"
๓.เมื่อเดินถึงธงที่ ๒ ก็ฟาดไม้ลงเหมือนท่าวันทยาวุธ แขนซ้ายไม่แกว่ง สลัดหน้าไปทางขวาผู้กำกับฯทำเมื่อถึงธงที่ ๒ รองผู้กำกับฯทำพร้อมออกคำสั่งว่า "แลขวา-ทำ" เมื่อเดินถึงธงที่ ๒
๔.เมื่อเดินถึงธงที่ ๓ ก็ดึงไม้กลับจากท่าวันทยาวุธกลับมาเป็นท่าบ่าอาวุธ ผู้กำกับฯและรองผู้กำกับฯทำเมื่อเดินผ่านธงที่ ๓ โดยไม่ต้องออกคำสั่ง การทำความเคารพด้วยไม้ถือขณะเดินให้ทำไปพร้อมกับเดินโดยทำและออกคำสั่งเมื่อจังหวะตบเท้าซ้าย